admin
ผู้ดูแลระบบ
ผู้ดูแลระบบ
โพสต์: 247 | | กรรม: 0
|
น้ำยาแอร์ R32 คืออะไร - 03/10/2014 08:52
[size=5]น้ำยาแอร์ R32 คืออะไร[/size]
จากเดิมที่เป็นน้ำยาแอร์ R22 ที่สารเอชซีเอฟซี (HCFCS) เปลี่ยนนมาเป็นน้ำยา R32 แทน เพื่อลดการปล่อยสาร CFC ที่ทำลายชั้นบรรยากาศ ตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้สารดังกล่าวแบบขั้นบันไดจนกระทั่งเป็นศูนย์ในป
ี 2573 ตามที่ไทยได้ลงนามสนธิสัญญา ตามพิธีสารมอนทรีออล ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องยกเลิกใช้สารดังกล่าว
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2557 ทาง ASHRAE Thai ได้จัดให้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ "ทิศทางสารทำความเย็นใหม่สำหรับเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น จากผลกระทบของภาวโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ"
น้ำยาแอร์ R32 คืออะไร ความเป็นจริงแล้ว เราคุ้นเคยกับน้ำยา R32 มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในอีกรูปแบบหนึ่งเป็นน้ำยาแอร์ R410a นั่นเอง น้ำยาแอร์ R410a ประกอบด้วยน้ำยาแอร์ R32 ครึ่งหนึ่ง และน้ำยาแอร์ R125 ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นคุณสมบัติและการใช้งานของ น้ำยาแอร์ R32 นี้จึงใกล้เคียงกับ R410a เพียงแต่น้ำยาตัวนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม A2 (SAFTY GROUP-A2) ซึ่งหมายความว่ามันมีคุณสมบัติในการติดไฟเล็กน้อย (slightly flammable)
ทำไมถึงใช้ น้ำยาแอร์ R32 R410a และ R32 มีค่า ODP = O (ค่า ODP : Ozone Depletion Potential เป็นค่าที่บ่งบอกถึงการทำลายชั้นโอโซน ถ้ามีค่ามากจะสามารถทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศได้มาก) R410a มีค่า GWP = 1980 ส่วน R32 มีค่า GWP = 550 (ค่า GWP = Global Warming Potential เป็นค่าตัวเลขที่วัดเป็นสัดส่วนในการทำให้โลกร้อนขึ้น ค่า GWP สูงจะทำให้โลกร้อนขึ้นเมื่อเทียบกับค่า GWP ที่ต่ำ) ดังนั้นเมื่อเทียบค่า GWP ของน้ำยา R32 และน้ำยา R410a แล้ว จะเห็นว่าน้ำยา R32 เป็นพระเอก เนื่องจากค่า GWP ต่ำกว่า (ประมาณ 3.6 เท่า) แต่เมื่อมาถึงข้อคุณสมบัติในการติดไฟ น้ำยา R32 ก็จะกลายเป็นร้าย เพราะน้ำยา R32 สามารถติดไฟได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในกลุ่ม A2 (ติดไฟได้เล็กน้อย - SLIGHTLY FLAMABLE) เมื่อเทียบกับ R410a ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่ม A1 ซึ่งถือว่าไม่มีคุณสมบัติในการติดไฟ
แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมยังจะใช้ R32 อีกล่ะ มันมีโอกาศที่จะเกิดอัตรายต่อผู้ใช้มิไช่หรือ จากการทดลองในห้องทดลองแล้วการใช้งานที่ผ่านมาแล้ว (ในญี่ปุ่นมีการใช้งานมากกว่า 5 ปีแล้ว) การที่ น้ำยา R32 จะติดไฟได้นั้น มันจะต้องมีความเข้มขัน ของตัวน้ำยาพอสมควร จากการทดลองจะเกิดอากาศของการเริ่มติดไฟเมื่อมีความเข้มขันของน้ำยา R32 ในระดับ 13.5% ขึ้นไปโดยปริมาตร ยกตัวอย่าง เราติดแอร์แบบติดผนังในห้องขนาด 4x4 เมตร ห้องมีความสูง 3 เมตร ปริมาตรของห้องคือ 48 ลูกบาศก์เมตร จะต้องมี R32 อยู่ในห้อง 6.5 ลบ.เมตร (ประมาณแทงค์น้ำทรงสี่เหลี่ยมขนาด 1.2 ม.x1.2 ม.x1.2 ม. จำนวน 3 แทงค์ครึ่ง) จึงจะเริ่มมีการติดไฟ สมมติว่าเราติดแอร์ในห้องนี้โดยใช้ขนาด 1 ตัน จะต้องเติมน้ำยาในระบบประมาณ 1 กก. โดยน้ำหนัก ประมาณง่ายๆ ว่าปริมาตรน้ำยาจำนวนประมาณเท่าขวดน้ำกินทั่้วไปขวดใหญ่ 1.5 ลิตร โดยปริมาตรเราจะเห็นว่าขนวดน้ำ 1.5 ลิตร เมื่อเทียบกับแทงค์น้ำ 3 แทงค์มันน้อยนิดมาก (ประมาณ 0.03% โดยปริมาตร) โอกาศที่จะเกิดการติดไฟก็มีโอกาสน้อยตามไปด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่า R32 จะมีคุณสมบัติในการติดไฟ แต่เมื่อมันมีปริมาณที่น้อยมันก็ไม่สามารถติดไฟได้ เพราะสภาพแวดล้อมไม่อำนวยให้ติดไฟได้ อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะติดไฟ ลักษณะของเปลวไฟจะไม่ลุกลามมาก มันจะมีลักษณะเป็นเปลวไฟวงกลมรอบแหล่งกำเนิดไฟ ไม่ใช้เป็นการติดไฟอย่างรวดเร็วเหมือนพวกกลุ่ม PROPANE
อีกประการหนึ่งที่ได้จากการศึกษาเรื่องน้ำยา เขาได้ข้อสรุปประการหนึ่งว่า น้ำยาตัวใดที่มีค่า GWP ต่ำ น้ำยาตัวนั้นก็มีคุณสมบัติในการติดไฟมากขึ้น ยกตัวอย่าง น้ำยา R290 ซึ่งเป็นสารกลุ่ม PROPANE ซึ่งติดไฟได้ง่าย (ก๊าซ LPG ที่เราใช้หุงต้มอาหารก็จัดเป็นกลุ่ม PROPANE + BUTANE) น้ำยาตัวนี้อยู่ในกลุ่ม A3 คือจัดอยู่ในกลุ่มที่ติดไฟได้ง่าย แต่น้ำยาตัวนี้มีค่า GWP = 3 : ซึ่งถือว่าต่ำมากในการทที่จะมีส่วนทำให้โลกร้อน แต่ก็มีการเสี่ยงในการใช้เพราะติดไฟง่าย เมื่อเราเอาน้ำยาชนิดหนึ่งมาขึ้นตราชั่ง 2 แขน หากเราต้องการน้ำยาที่มีค่า GWP ต่ำ ตาชั่งก็จะเอียงไปทางค่าความสามารถในการติดไฟสูง หมายความว่า เมื่อต้องการค่า GWP ต่ำมาก ความสามารถในการติดไฟก็สูงเป็นเงาตามตัว หากเราต้องการน้ำยาที่ไม่ติดไฟเลย ค่า GWP ก็ต้องสูง แต่ด้วยกระแสโลกในขณะนี้ที่ไม่ต้องการทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็หาทางชะลอความร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้นทุกวันในอุตสาหกรรมหนักต่างๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีอุตสาหกรรมเหล่านี้โลกก็อยู่ไม่ให้ หากโลกร้อนขึ้นเรื่อนๆ เราก็อยู่ในโลกไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจะต้องหาทางสายกลางเมื่อพิจารณาถึงกระแสโลกขณะนี้ R32 ก็เสมือนหนึ่งเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในขณะนีี้ ด้วยกระแสของการลดความร้อนในบรรยากาศของโลกในปัจจุบัน วันนี้โลกจึงมีแนวโน้นว่าจะใช้น้ำยา R32 เพราะมันจะลดความร้อนที่จะถูกปล่อยออกมาสู่บรรยากาศได้ดีกว่าน้ำยาตัวอื่นๆ (ขอย้ำว่ในปัจจุบันนี้เท่านั้น) ดังนั้นอัตราความร้อนที่มันสามารถทำให้โลกร้อนจึงจะมีน้อยกว่าน้ำยาตัวอื่นๆ (เนื่องจากค่า GWP ต่ำกว่าน้ำยาตัวอื่นนั่นเอง) อีกประการหนึ่งเนื่องจากการที่ R32 เป็นสารประกอบเดี่ยว เวลาเติมน้ำยาเพิ่มเติมเราสามารถเติมได้เลย ทั้งในสภาวะของเหลวหรือก๊าซ ไม่เหมือนกับตัว R410a ซึ่งเป็นน้ำยาผสม เวลาเติมน้ำยาจึงต้องปล่อยน้ำยาออกหมดก่อน (ซึ่งเป็นตัวการเพิ่มภาวะโลกร้อน หากเราปล่อยเข้าบรรกาศโดยตรง) การเติมน้ำยาก็ถูกจำกัดว่าต้องเติมในสภาวะของเหลวเท่านั้น เพื่อรักษาส่วนผสมของน้ำยาให้ถูกต้อง แต่การเติม R32 เราเติมได้เหมือน R22 ทุกประการ จึงลดโอกาสที่จะปล่อยน้ำยาในระบบทิ้งทั้งหมด อย่างไรก็ตามในอนาคตอาจจะมีการค้นคว้าและได้น้ำยาตัวใหม่ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีกว่าน้ำยา R32 นี้ก็เป็นได้ เมื่อน้้นน้ำยาตัวใหม่ที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่าจะเข้ามาแทนที่ R32 เหมือนกับน้ำยา R410a ที่กำลังจะถูกแทนที่ด้วย R32 นี้เช่นกัน นอกจากคุณสมบัติของค่า GWP ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากน้ำยา R32 มี FLOW DENSITY (ความหนาแน่นของการไหล)ที่น้อยกว่า R410a ทำให้เกิดความเสียดทาน (Friction) น้อยกว่าตัวน้ำยา R410a การออกแบบในการผลิตเครื่องปรับอากาศก็สามารถใช้ท่อน้ำยาที่มีขนาดเล็กกว่าสำหรับแผงระบายความร้อน และการเดินท่อน้ำยาก็สามารถใช้ท่อเล็กกว่าที่ใช้กับน้ำยา R410a ซึ่งจะส่งผลให้เครื่องปรับอากาศมีขนาดเล็กลง เป็นการลดวัสดุในการผลิต (แต่เขาจะผลิตมาขายให้เราในราคาที่ถูกลงหรือเปล่าไม่รู้นะ ต้องติดตามกันต่อไป) พิจารณาจากแนวทางที่ท่านประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น สภาอุตสหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้แถลงข่าวไว้ พวกเราซึ่งเป็นผู้จำหน่าย ติดตั้ง และซ่อมบำรุง ก็คงจะต้องทำงานกับน้ำยา R32 ตัวนี้ในอนาคตอันใกล้นี้เป็นที่แน่นอนแล้วอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นการทำงานกับน้ำยาตัวใหม่นี้ เช่น การเติมน้ำยา การตรวจสอบความดันน้ำยา เครื่องมือที่ต้องใช้ ความหนาของท่อทองแดงที่ต้องใช้ ความหนาของท่อทองแดงที่ต้องใช้ความดันน้ำยา ฯลฯ ตลอดจนการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น นั่นก็คือ เราต้องเรียนรู้การใช้งานให้เกิดความปลอดภัยทั้งในส่วนของเราเองและลูกค้าของเราซึ่งเป็นผู้ใช้งาน .
แก้ไขโดย: admin, เมื่อ: 03/10/2014 08:55
|